วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551

บัตรเครดิต ...พิมพ์แจกเป็นวิทยาทาน พิมพ์ถวายเเป็นธรรมทาน… คาถาเงินล้าน (บูชา ๙ จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด) พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

บัตรเครดิต

...พิมพ์แจกเป็นวิทยาทาน พิมพ์ถวายเเป็นธรรมทาน…

คาถาเงินล้าน (บูชา ๙ จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด) พระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
ตั้ง นะโม ๓ จบ สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา
ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค) พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม
(คาถาเงินแสน) มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน) พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม
(คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า) สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น) เพ็ง
เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา

คาถาบูชาดวงประจำวันเกิด ทั้ง ๗ วัน
๑. คาถาคนเกิดวันอาทิตย์ อะ วิช สุ นุส สา นุต ติ
ชื่อคาถาพระนารายณ์แปลงรูป ใช้เมตตามหานิยมก็ได้ สวดวันละ ๖ จบ
๒. คาถาคนเกิดวันจันทร์ อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา
ชื่อคาถากระทู้เจ็ดแบกใช้ทางคงกระพัน สวดวันละ ๑๕ จบ
๓. คาถาคนเกิดวันอังคาร ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
ชื่อคาถาฝนแสนห่าใช้ทางเมตตามหานิยม สวดวันละ ๘ จบ
๔. คาถาคนเกิดวันพุธกลางวัน ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท
ชื่อคาถาพระนารายณ์เคลื่อนสมุทร ใช้เสกปูนสุญฝี สวดวันละ ๑๗ จบ
๕. คาถาคนเกิดวันพุธกลางคืน คะ พุธ ปัน ทู ธัม วะ คะ
ชื่อคาถาพระนารายณ์พลิกแผ่นดิน ใช้แก้ความผิดต่างๆ วันละ ๑๒ จบ
๖. คาถาคนเกิดวันพฤหัสบด ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ ชื่อคาถาพระนารายณ์ตรึงไตรภพ
ใช้ทางเมตตามหานิยม สวดวันละ ๑๙ จบ
๗. คาถาคนเกิดวันศุกร์ วา โธ โน คะ มะ มะ วา
ชื่อคาถาพระพุทธเจ้าตวาดหิมพานต์ ใช้ทางเมตตามหานิยม วันละ ๒๑ จบ
๘. คาถาคนเกิดวันเสาร์ โส มา ณะ กะ ระ ถา โธ ชื่อคาถาพระนารายณ์ถอดจักร
ใช้ทางถอดคุณไสยศาสตร์ สวดวันละ ๑๐ จบ

คาถาชูชก
(ธูป 5 ดอก บูชา 5 จบ) "อิติ สุคะโต ชะนาสุโภ ชูชะโก สุคะโต อิติ"

พระคาถาบูชาพ่อร. 5
(ธูป 9 ดอก นะโม 3 จบ) พระสยามิน ทะโร วะโร อัตตัง พุทธะสังฆิ ทิติ
อรหังวะรังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปิโยเทวา มนุสานัง ปิโย พรหมานะ มุตตะโม ปืนัน
ทริยัง นะมามิหัง

คำบูชาพระพิฆเนศวร
โอม ศรี คเณศา ยะ นะมะฮา

คำขอพระองค์พระพิฆเนศวร
โอม คะ ชา นะ มัน ภู ตะ คะ ณา ชี เส วิ ตัม กะ ถะ ชัมพู ผะละ จารุภักษฌัม
อุมาสุตัม โสกะวิศนาศะ การัมคัม นะมามิ วิฆเนศวะระ ปาทะปัมกะชัม

พระคาถาชินบัญชร สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี
ในการสวดคาถาชินบัญชรนี้ เพื่อให้เกิดอานุภาพยิ่งๆ ขึ้น ตั้ง นะโม ๓ จบ
น้อมจิตระลึกถึง สมเด็จพุทธาจารย์โต ปุตตุกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
อัตถิกาเยกายะ ญายะเทวาปิยะตังสุดตตะวา
๑. ชะยาสะรากะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวาหะนัง จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย
ปิวิงสุ นะราสะภา
๒. ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฎฐะวีสะติ นายะกา สัพเพ ปะติฎฐิตา มัยหัง มัตถะเก
เต มุนิสสะรา
๓. สีเส ปะติฎฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิไลจะเน สังโฆ ปะติฎฐิโต มัยหัง อุเร
สัพพะคุณากะโร
๔. หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณโกณฑัญโญ ปิฎฐิภาคัสมิง
โมคคัลลาโน จะ วามะเก
๕. ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะราหุโล กัสโป จะ มหานาโม
อุภาสุงวามะโสตะเก
๖. เกเสนเต ปิฎฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร นิสินโน สิริ สัมปันโนโสภิตา
มุนิปุงคะโว
๗. กุมาระกัสโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก โสมัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฐาสิ
คุณากะโร
๘. ปุณโณ อังคุลีมาโล จะ อุปาสี นันทะสีวะลี เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเฎ
ติละกา มะมะ
๙. เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา
ชะลันตาสีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา
๑๐. ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตาสุตตะกัง ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม
อังคุลิมาละกัง
๑๑. ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฎานาฎิยะสุตตะกัง อากาเล ฉะทะนัง อาสิ เสสา
ปาการะสัณฐิตา
๑๒. ชินนานา วะระสังยุตตา สัตตะปาการะสังกะตา วาตะปิตตาทิสัญชาตา
พาหิรัชฌัตุปัททะวา
๑๓. อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะเตชะสา วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา
สัมพุทธะปัญชะเร
๑๔. ชินะปัญชะระมัชเฌนหิ วิหะรันตัง มะฮึ ตะเล สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เจ
มะหะปุริ สาสะภา
๑๕. อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข ชินานุภาเวนะ ชิตูปัททะโว ธัมมานุภาเวนะ
ชิตาริสังโฆ สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ
ชินะปัญเรติ

คำกล่าวอันเชิญพระคาถา พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขคอุดมศักดิ์
นะโม ๓ จบ (ธูป ๙ ดอก หรือ ๑๙ ดอก) โอมชุมพรจุติ อิทธิกะระนัง สุขโข
นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ จะพะกะสะ มะอะอุ

คาถาอาราธนา พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขคอุดมศักดิ์
ชุมพรจุตติ อิทธิกรณัง สุขโขนะโมพุทธายะ ทะอะระหัง ทะจะพะ กะสะ มะอะอุ
พุทธะสัมมิ ธัมมะสัมมิ สังฆะสัมมิ

เชิญอ่านเรื่องราวของ ศิริประสุประตินาถ (พญานาคราช ปรารถนาสร้างบารมี ๓๐
ทัศ)

ในสมัยนั้น เป็นสมัยกลียุค ณ วัดศิริประสุประตินาถ เมืองกัตมันตู ประเทศเนปาล
ณ ที่พระพุทธเจ้าประสูตินั่นเอง ที่วัดศิริประสุประตินาถ
มีสิ่งที่ไม่น่าเชื่อและไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้น

วันหนึ่งในโบสถ์ของวัดประสุประตินาถได้มีหลวงพ่อองค์หนึ่งได้นั่งสมาธิสวดมนต์อยู่ในโบสถ์

ในเวลานั้น มีงูตัวหนึ่งได้เลื้อยออกมาจากหน้าพระพุทธรูปในโบสถ์
หลวงพ่อได้เห็นงู ก็เกิดอาการกลัว หลังจากนั้น งูได้กลายร่างเป็น
มษย์ในรูปของพราหมณ์ แล้วก็พูดกับหลวงพ่อว่า “เจ้าไม่ต้องกลัวและตกใจ
เจ้าจงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคือ พญานาคราช ข้าพเจ้าจะมาจุติ ณ ที่วัดแห่งนี้
เพื่อบำบัดปัดปัดเป่าความชั่วร้าย
และคนทำบาปทำกรรมไว้มากจะให้พินาจสูญไปจากโลกนี้
แล้วเจ้าจงประกาศให้คนรู้ทั่วไปว่า ผู้ใดนำเรื่องของข้าพเจ้าไปพิมพ์แจก ๑,๐๐๐
ใบ ภายใน ๑๕-๓๐ วัน ผู้นั้นจะมีโชคลาภ มีความสุขความเจริญ
คิดสิ่งใดสมความปราถนาทุกประการ และผู้ใดได้รู้ได้อ่าน แล้วอย่าคิดไปลวง
หรือไม่เชื่อ และผู้ใดคิดจะพิมพ์ต้องพิมพ์แจกภายใน ๑๕-๓๐ วัน
อย่าคิดจะพิมพ์ผลัดวันประกันพรุ่ง หรืออ่านแล้วฉีกทิ้ง มันผู้นั้น
จะมีเรื่องและภัยพิบัติเกิดขึ้นต่อผู้นั้น อ่านแล้วอย่าทิ้งให้พิมพ์แจก
หรือแจกต่อๆ กันไป (หรือเก็บไว้สวดมนต์ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัว)”

จากนั้นมา หลวงพ่อ ก็ได้พิมพ์แจก ๑,๐๐๐ ใบ หลังจากนั้นไป ๓-๔ วันเท่านั้น
ก็ได้สำเร็จวิชาต่างๆ และคุณโกบินตะปราสาคุปตา ได้พิมพ์แจก ๑,๐๐๐ ใบ
เขาได้เงินทองผู้คนที่หยิบยืมเขาไปคืนมา อีกรายหนึ่งก็ได้พิมพ์แจก ๕๐๐ ใบ
รายนี้เขาเป็นชาวนา วันหนึ่งเขาได้ไปไถนาเขาก็พบไหใบหนึ่ง
ในไหนั้นมีเงินทองเต็มไปหมด ส่วนอีกรายหนึ่งเขาได้พิมพ์แจก ๑๐๐ ใบ
เขาก็ถูกล็อตเตอรี่ ๑ ล้านบาท อีกรายหนึ่งเป็นคนถีบจักรยานสามล้อ ก็พิมพ์แจก
๖๕๐ ใบ เขาก็เจอแจกันทอง อีกรายหนึ่งเป็นคนตกงานหากงานทำที่ไหนก็ไม่มีใครรับ
พอเขาพิมพ์แจก ๓-๔ วัน ก็หางานทำได้เป็นงานดี
และอีกรายได้อ่านได้รู้ก็ไม่เชื่อจึงฉีกทิ้ง หลังจากนั้นได้ ๑-๒ วัน
ลูกชายเขาก็ตาย อีกรายได้อ่านได้รู้คิดจะพิมพ์แจก
และผลัดวันประกันพรุ่งจนเลยกำหนด ผู้นั้นเป็นพ่อค้าค้าขายก็ขาดทุน
แล้วพ่อเขาก็มาตายจากไปอีกด้วย และอีกรายหนึ่งก็ได้พิมพ์ ๑,๐๐๐ ใบ
ไม่กี่วันเขาก็มีเงินแบบไม่น่าเชื่อ อยู่ๆ ก็มีเงินขึ้นมาเอง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโบสถ์ของวัดศิริประสุประตินาถ ที่เล่ามานี้
ต้องคิดด้วยความสัตย์จริง และศรัทธาอ่าน แล้วต้องพิมพ์แจก อ่านแล้วอย่าฉีกทิ้ง
ให้แจกต่อๆ ไปด้วยความศรัทธา และเชื่อถือ ก็จะเป็นผลดีแก่ตนเอง....

...อธิฐานตามความประสงค์ ของผู้บูชา…
...ขอโชคดีโชคลาภบังเกิดขึ้นโดยเร็ว...
...adisak...


พุทธทำนาย

หนังสือพุทธทำนาย ข้อความจาก ปู่ฤษีมณีรัตน์ (สัมเด็ดรุ่ง) จาก
“หนังสืออินตก-เทพทำนาย” โดยย่อ

หนังสือใบลานสี ได้ถูกตกมาในวัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดอัตตะบือ (ประเทศลาว)
ข้าพเจ้าได้รับรู้จากพระอาจารย์ผู้ทรงศีลองค์หนึ่งเผยแผ่ให้เลยเกิดความศรัทธาเสียสละทรัพย์พิมพ์แจกจ่ายมายังพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย
เพื่อเป็นกุศลและเพื่อพิจารณาญาณด้วยตนเองถึงเหตุการณ์มหันตภัยของโลกยุคโลกาภิวัฒน์
ซึ่งจะบังเกิดขึ้นตามพุทธทำนายไว้ดังนี้

โลชังชมโทโพโส อินโตกรุณา

พระอินทร์ พรหม ยมราช ได้สั่งไว้ว่า ถ้าบุคคลใดได้รู้แล้ว
จงรีบบอกให้คนอื่นฟังหรือพิมพ์แจกตามกำลังศรัทธา
จะเกิดมหากุศลช่วยให้ท่านได้หลุดพ้นจากมหันตภัยพิบัติทั้งปวง
ถ้าบุคคลจะลงมาเกิด พร้อมทั้งหนังสือใบลานฉบับนี้
ถ้าใครไม่มีไว้ในบ้านเรือนจะมีภูตผีปีศาจเข้ามาทำลายอย่างแน่แท้

ในปีจอถึงปีกุน เมื่อเดือนหงายจะมีงูพิษอยู่บนศีรษะ ฉกกัดให้ถึงตาย
และผู้คนทั้งหลายจะเกิดความเดือนร้อนหลายประการ
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนศึกสงครามบ่แล้ว
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนน้ำและไฟ
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนบ่มีไผสิเบิงไผ
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนดึงข้าวปลาอาหาร
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนผัว-บ่เห็นหน้ากัน
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนมีคนตายตามทุ่งนา
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนบ่มีผู้เฒ่า
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนไปต่างประเทศบ่สะดวก
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนนอนบ่หลับ

ในปีจอนี้ ในเมืองจันทร์จะมีฤษีองค์ทองดำ ลิกขาลาเพศออกมาเป็นพ่อค้าในปีจอขึ้น
8 ค่ำ ห้ามบ่ให้ตักน้ำอาบ น้ำกิน ตามหัวยหนองคลองบึงหลังพระอาทิตย์ตกดิน
(ก่อนค่ำ) พระยายมราชจะนำเอายาพิษพ่นใส่โลกมนุษย์ เมืองกรุงเทพ
จะแตกพังหลายตอนเวลาไก่ขัน พระแก้วมรกต
หัวเชียงเมี้ยงข้าวเม็ดใหญ่จะกลับสู่เวียงจันทร์

นี่คือ พระคาถาขององค์อินทร์ พรหม ยมราช ได้เขียนไว้ในใบลาน
จงเก็บรักษาไว้ให้ดีเพื่อช่วยหลุดพ้นจากภัยพิบัติได้ในยามเกิดเหตุการ์มหันตภัย
พระคาถาเขียนไว้ว่า

ปะโต เมตัง ประระชีมินัง สุคะโต จุติ จิตตะ เมตตะ นิมะมัง สุคะโต จุติ

พระคาถาบทนี้ เขียนลงใบลาน แผ่นทองหรือแผ่นผ้าก็ดี ติดไว้ที่ประตู้บ้าน
หรือในรถ หรือโพกศีรษะ ยามเกิดเหตุการณ์จะช่วยให้หลุดพ้นจากภัยอันตราย

ในการละเวลานี้
เทพเจ้าเหล่าเทวดาผู้รักษาคุ้มครองโลกได้กราบทูลต่อพระอินทร์ว่า
มนุษย์โลกทำกุศลเพียง 3 ส่วน และทำบาปกรรมถึง 7 ส่วน เมื่อเป็นเช่นนี้
องค์อินทร์ จะสั่งลงโทษมนุษย์ผู้ใจบาป ถึง 96 ข้อ นับตั้งแต่ปีจอ ถึงปีกุน
ดังนี้
1. จะให้เกิดพายุลมแรง แผ่นดินไหว
2. จะให้เกิดอัคคีภัย
3. จะเกิดอุทกภัย
4. จะเกิดฟ้าผ่า
5. จะเกิดร้อนเกินไป หนาวเกินไป
6. จะเกิดสารพิษต่างๆ
7. จะเกิดกาฬโรคต่างๆ
8. จะเกิดข้าวยากหมากแพง
9. จะเกิดฆาตพยาบาทเบียดเบียนกันเอง

มหันตภัย 9 อย่างนี้ จะหลุดพ้นได้โดยเฉพาะผู้มีบุญ
คนที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
รู้แล้วจงบอกต่อกันไปให้รีบทำความดีมากๆ ถ้าเลยปีจอ ปีกุน ไปแล้ว
ทุกคนพร้องทั้งลูกหลานจะได้รับความสุขกายสบายใจทุกคนให้ทุกคนเคร่งครัดในศีล 5

นอกจากหนังสืออินตก ที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีพระผู้ทรงศีลองค์หนึ่ง
ได้พบเห็นคำสอนที่จารึกไว้ในแผ่นศิลาที่พึ่งพบในภูเขาแห่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้เดินธุดงค์วิปัสสนากรรมฐานผ่านไป
พระผู้ทรงศีลกล่าวว่า พี่น้องทั้งหลาย ถ้าไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ดวงจิต
เพราะถึงเวลาแล้ว ที่สวรรค์จะไม่มีความลับ ถ้าท่านเชื่อก็เป็นกุศล
รู้เพียงเท่านี้

ข้าพเจ้าจึงบอกเล่าสู่ท่านฟังตามคำกล่าวของพระผู้ทรงศีลรูปนี้ว่า
ในแผ่นศิลาได้เขียนไว้โดยพระมหากัสสะปะว่า ในปีระกา ปีจอ ปีกุน เดือน 7-8
จะเกิดเหตุการณ์ร้ายตามถนนหนทาง ในเดือน 9-10 คนใจบาปจะถูกล้างผลาญให้หมดไป
มีบ้านแต่ไม่มีคนอยู่ มีข้าวแต่ไม่มีคนกิน มีทางแต่ไม่มีคนเดิน

สุดท้าย
พระผู้ทรงศีลได้กล่าวย้ำถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหนังสืออินทร์ตกเพิ่มเติมว่า
ถ้าท่านผู้เคารพบูชาหรือบนว่า
จะบอกแก่ผู้อื่นหรือพิมพ์แจกจ่ายให้สาธุชนทั้งหลายได้รับรู้แล้วท่านปรารถนาสิ่งใดจะได้สมใจนึก
จะปราศจากภัยพิบัติทั้งปวงตลอดไป ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

พระพุทธเจ้าทำนาย

ออกจากศิลาจารึกในมหาวิหารเจคมาหเชตะวัน ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย
โดยคณะทูตไทยที่ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 2485
ตามคำแปลเป็นภาษาไทย ว่าดังนี้

สาธุ อะระหังตา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุงณาสรรพสัตว์ทั่วโลก
ที่เกิดมาแล้วแต่ลำบาก ทั่วหน้า ทุกชาติ ทุกศาสนาตามธรรมชาติ
เมื่ออาตมาเข้านิพพานไปแล้วครบห้าพันปีเป็นที่สุด
โลกจะหมุนไปใกล้จะถึงจำนวนที่
ตถาคตทำนายไว้สองพันห้าร้อยปีมนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติเสียครั้งหนึ่งในระยะ
30 ปี สิ่งที่สาธุชนไม่เคยเจอะจะได้เห็น ไม่เคยพบจะได้พบ
ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับกลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งขึ้น ใกล้กับ พศ. 2550
ยิ่งทวีกันใหญ่ขึ้นทุกทิวาราตรี
มนุษย์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันกันจนถึงเลือดนองเต็มพื้นดิน
พื้นน้ำจะลุกลามเผามนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายเหมือนยักษ์ กระหายเลือด
แผ่นดินจะเป็นเปลวไฟจะตายไปอย่างละครึ่งหนึ่งจึงจะเลิกล้ม
ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกัน ตามวิสัยยักษ์ร้ายนอกศาสนา
ซึ่งถือกำเนิดจากป่าอำมหิต ส่วนพุทธศาสนิกชน ผู้ทำแต่บุญ เดินตามทางตถาคต
สามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดได้บูชาพระโพธิสัตว์ ผ้ากาวสวพัตร์
ก็จะรับภัยพิบัติเบาบาง แต่หนีภัยธรรมชาติไม่พ้น
ไฟจะลุกลามมาทางทิศตะวันออกไหว้วัดวาอาราม สมณะชีพราหมณ์ จะอดอยากยากเข็น
ลูกไฟจะตกจากฟ้าเหล็กกล้าจะผุดจากน้ำ สงครามจะเกิดทั่วทิศ
พระยานาคจะพ่นพิษเป็นเพลง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวสารจะขาดแคลนทุกแคว้นจะอดอยาก
พลูหมากจะหมดเปลือง สีเหลืองจะชนะ พระยังอยู่คู่เมืองอีกต่อไป
สีขาวจะแพ้ภัยในที่สุด ครุฑจะบินกับฐาน คนจะกลับบำรุงพระพุทธเจ้าว่า ดังนี้

ชา ตะ มะ สะ ละ วา

พระพุทธชินลิตนี้ ท่านให้เขียนใส่กระดาษ หรือผ้าขาวติดไว้หน้าบ้าน หรือหัวนอน
ดังนี้ จะมีอายุยืนยาว จะทันผู้มีบุญชื่อ พระยาธรรมิกราชา
เมื่อแรกสถิตอยู่เขตอยุธยา บัดนี้ท่านเสด็จอยู่ลานช้าง(ภาคอีสานในปัจจุบัน)
พระธรรมิกราชา เข้ามาปีกุน เดือน 11 เป็นเที่ยงแท้หนักหนาท่านเสด็จมาในปีระกา
แรม 5 ค่ำ มหากษัตริย์มาทางทิศตะวันตก สมณะชีพราหมณ์ตามมาพอประมาณได้ 76,400
รูป ทั่วอาณาจักร

สมเด็จพระบรมนักปราชญ์ได้ประกาศคาถาว่า ดังนี้ นะสัจจัง ทะ คะยังมะสำคำปัง
คอยดูในปีมะโรง คนจะเดินโก่งโคง คลาน ผู้ใดอยากพบผู้มีบุญ
ชื่อพระยาธรรมิกราชาให้ภาวนา ให้หมั่นรักษาศีล สดับรับฟังพระธรรมเทศนา
คอยดูปีมะเส็งตลิ่งจะพัง มหาสมุทรจะชอกช้ำ อย่าเที่ยวไปกลางแจ้ง
ท่านเข้ามาปีกุน เดือน 8 เป็นเที่ยงแท้

ผู้ใดไม่เชื่อจะรับอันตราย คอยดูในปีจอ คนจะพ้นภัย สะโรนะกา โทหายะโม
พุทธะตะยะภาวนาทุกค่ำเช้า ผู้นั้น
จะมีอายุยืนนานจะได้เห็นพระธรรมิกราชา(พระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตย) ในปีกุน
ท่านจะเข้ามาอีก ถ้าไม่เห็นหนังสือบ้านใด ผู้นั้นจะได้รับอันตราย
รู้แล้วให้บอกต่อกันด้วย

คำเตือน โลกมนุษย์กำลังจะเข้าสู่กาลียุค จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติจาก ดิน น้ำ ไฟ
ลม จะเกิดมหาสงครามโลกครั้งที่สามตามมา มนุษย์จะตายไปกว่าครึ่ง

สำหรับประเทศไทย จะเริ่มเกิดตั้งแต่ปี 2550
คาดว่าจะได้รับภัยทางน้ำแล้วไฟโดยเฉพาะจังหวัดที่ติดชายทะเลและกรุงเทพฯ
แผ่นดินจะยุบตัว คลื่นน้ำจะพัดเข้า ถล่มความสูง 200 เมตร
มนุษย์จะล้มตายมากกว่าครึ่ง น้ำจะเข้าช่องแคบสระบุรี
และด้านตอนล่างของโคราชบางส่วน ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ
สุดท้ายประเทศไทยเหลือประชากรประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์

ส่วนประเทศอื่นทั่วโลกจะเหลือเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
บุคคลที่รอดชีวิตส่วนมากก็สูญเสียสติสัมปชัญญะไม่ปลอดภัยเหมือนเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนาเพราะไม่เข้าใจบำเพ็ญฌานภาวนา

ฉะนั้น อย่าหลงใหลในทรัพย์สินของตนเองให้มากนัก เพราะเมื่อเข้ายุคศิวิไล
เงินทอง จะไม่มีค่าเลย เพราะมนุษย์ยุคนนั้น วัดกันที่ความดี ศีลธรรม
บุญกุศลเท่านั้น ปีมะโรง พศ. 2555 ปีมะเส็ง 2556 ปีระกา พ.ศ. 2560 พ.ศ. 2561
ปีกุน พศ.. 2562 คำนายสมเด็ยพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี)

รัชกาลที่ 1 ทายว่า มหากาฬ (ทำลายเพื่อน พี่น้อง)
รัชกาลที่ 2 ทายว่า ฌานยักษ์ (ชำนาญเวทมนต์)
รัชกาลที่ 3 ทายว่า รักมิตร (มีการค้าขายกับต่างชาติมากมาย)
รัชกาลที่ 4 ทายว่า สนิทคำ (ออกบวช)
รัชกาลที่ 5 ทายว่า จำแขนขาด (คือต้องยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและเขมร
เพื่อป้องกัน อธิปไตย)
รัชกาลที่ 6 ทายว่า ราชโจร (เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดกลุ่มโจรมากมาย
มีการตั้ง
กองเสือป่าครั้งแรกของไทย)
รัชกาลที่ 7 ทายว่า ชนร้อนทุกข์ (เกิดการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย)
รัชกาลที่ 8 ทายว่า ยุคทมิฬ (พระเจ้าแผ่นดินถูกลอบปลงพระชนม์)
รัชกาลที่ 9 ทายว่า ถิ่นกาขาว (มีฝรั่งเข้ามามากมาย นำเงินมาซื้อประเทศไทยเกิด
วิกฤตการเงิน)
รัชกาลที่ 10 ทายว่า ชาวศิวิไลย์ (จะมีเหลือเฉพาะผู้มีบุญเท่านั้นที่รอดคอย
เป็นยุคของพระศรีอาริยเมตไตย)


...อธิฐานตามความประสงค์ ของผู้บูชา…
...ขอโชคดีโชคลาภบังเกิดขึ้นโดยเร็ว...
...adisak...


----------------------------
ไทยเมล์ ฟรีอีเมล์ของคนไทย
เพิ่มพื้นที่ให้ไม่จำกัด
http://www.thaimail.com

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2551

adisak Agloco

adisak Agloco

Recados Para Orkut - RecadosOnline.com

Recados Para Orkut - RecadosOnline.com











JoE Theerapong - Theerapong's Blog

JoE Theerapong - Theerapong's Blog

Blog Entryทำอย่างไรเมื่อต้องการเดินเรือค้าNov 16, '07 2:36 AM
for everyone

สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน ทั้งผู้ที่สนใจที่ออกจากราชการกองทัพเรือมาสู่โลกกว้าง ของการเดินเรือพาณิชย์ และผู้ที่อ่านเล่นๆ ประดับเป็นความรู้ กระผมในนามของผู้ที่อยู่ในหน่วยงานราชการที่ดูแลในเรื่องให้ความรู้ของคนประจำเรือพาณิชย์ จึงขออาสาด้วยความเต็มใจ!! (แกมถูกบังคับในฐานะเป็นน้องเล็กสุดในหน่วยงาน) มารับหน้าที่ทำให้ทุกท่านเกิดความเข้าใจในการที่จะลาออกจากราชการกองทัพเรือ ครับ

ก็คงไม่มีอะไรมากหรอกครับ อันดับแรกสุดเลยที่ทุกท่านต้องทำให้ได้คือ “ทำใจ” ครับ พร้อมหรือยังที่จะลาออก แต่ถ้าคิดดูอีกทีคงไม่ต้องมีความพร้อมมากก็ได้ครับ เพราะถ้าพร้อมมากอาจจะเกิดความลังเล แล้วไม่ได้ออกนะครับ อย่างผู้เขียนบอกตรงๆว่า ก่อนที่จะลาออกจากกองทัพเรือไม่รู้อะไรเลยครับว่าต้องทำอะไรบ้าง รู้แค่ว่าจะลาออกแล้วต้องติดต่อกับกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี (กรมเจ้าท่าเดิม) เพื่อทำตั๋วหรือประกาศนียบัตรตามข้อบังคับปี 32 เท่านั้นเอง (แล้วจะอธิบายให้ทราบต่อไปว่าเป็นอย่างไร) พอได้ตั๋วแล้วก็ลาออกเลยครับ อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะกล่าวก็คือ เมื่อลาออกแล้วทุกท่านมียศที่ในหลวงพระราชทานติดตัวมาเท่านั้นนะครับ ความเป็นทหารเก็บไว้เป็นศักดิ์ศรีลึกๆในใจเรา แล้วก็เอาความมีวินัยมาใช้ให้เป็นปะโยชน์ แต่ท่านไม่ใช่ทหารนะครับ (อย่าลืม! ท่านเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนนายเรือนะครับ) ดังนั้นการวางตัวก็ควรจะเหมาะสมกับฐานะที่ควรจะเป็น ที่เหลือคิดเอาเองว่าควรจะวางตัวอย่างไรให้เหมาะสมกับโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าเสียดายความเป็นทหารก็ไม่ต้องลาออกมาหรอกครับ แล้วจะมาเสียใจภายหลัง จงเลือกระหว่างเงินกับเกียรติยศความเป็นทหาร

เมื่อทำใจได้แล้วพร้อมที่จะลาออกแล้ว ต่อไปที่ต้องทำก็คือตรวจสอบระยะเวลาการอยู่เรือหรือที่เรียกกันว่า Sea service ของท่านว่ามีกันกี่ปีแล้ว ในช่วงแรกนี้ผมจะกล่าวถึงการปฏิบัติตาม “ข้อบังคับกรมเจ้าท่าว่าด้วยการฝึกอบรม การสอบความรู้และการออกประกาศนียบัตรผู้ทำการในเรือ พ.ศ. 2541 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2542” หรือที่เราเรียกกันสั้นๆว่า “ข้อบังคับปี 42” ซึ่งผมจะเรียกแบบสั้นๆนี้ แล้วก็ได้ข่าวแว่วลอยมาตามลมว่ากำลังมีการแก้ไขอยู่ แต่ไม่ทราบจะออกมาในลักษณะอย่างไรก็จะยังไม่กล่าวถึง นะครับ แล้วในตอนท้ายผมจะกล่าวถึง “ข้อบังคับกรมเจ้าท่าว่าด้วยการสอบความรู้ผู้ทำการในเรือ พ.ศ. 2532” หรือที่เรียกสั้นๆว่า “ข้อบังคับปี 32” เผื่อมีท่านใดสนใจแต่หากินลำบากหน่อยนะครับ

ตามข้อบังคับปี 42 นี้ เมื่อท่านจบจากโรงเรียนนายเรือแล้ว มี Sea service ครบตามที่ข้อบังคับกำหนดท่านก็สามารถขอสอบความรู้เพื่อขอรับประกาศนียบัตรนายประจำเรือฝ่ายเดินเรือของเรือกลเดินทะเลขนาด 500 ตันกรอสหรือมากกว่า ได้ครับ ผมขอยกข้อบังคับในเรื่องของการสอบความรู้ประกาศนียบัตรนี้มาให้อ่านกันเลยแล้วจะอธิบายต่อไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

ข้อ 30 ประกาศนียบัตรนายประจำเรือฝ่ายเดินเรือของเรือกลเดินทะเลขนาด 500 ตันกรอสหรือมากกว่า ผู้สมัครสอบต้องมีคุณสมบัตินอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อ 24 ดังต่อไปนี้

(1) มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์

(2) สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วไปไม่น้อยกว่า 12 ปี หรือเทียบเท่า

(3) ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรพนักงานวิทยุ GMDSS ที่ได้รับการรับรองหรือมีประกาศนียบัตรพนักงานวิทยุ GMDSS GOC หรือ ROC

(4) เป็นผู้สำเร็จการศึกษาและฝึกอบรม ที่ได้รับการรับรองตามหลักสูตรนายประจำเรือฝ่ายเดินเรือของเรือกลเดินทะเลขนาด 500 ตันกรอสหรือมากกว่า และผ่านการฝึกปฏิบัติงานในฝ่ายเดินเรือที่รวมอยู่ในหลักสูตรการศึกษาฝึกอบรมที่ได้รับการรับรองและมีบันทึกการฝึกปฏิบัติงานลงในสมุดรายงานการฝึกมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า สิบห้าเดือน หรือผ่านการปฏิบัติงานในฝ่ายเดินเรือมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า สี่สิบแปดเดือน ในเรือกลเดินทะเลระหว่างประเทศขนาด 500 ตันกรอสหรือมากกว่าหรือในเรือกลเดินทะเลใกล้ฝั่งขนาด 3,000 ตันกรอสหรือมากกว่า และในระยะเวลาการฝึกหรือการปฏิบัติงานดังกล่าวต้องมีการเข้ายามบนสะพานเดินเรือภายใต้การควบคุมของนายเรือหรือนายประจำเรือมาแล้วไม่น้อยกว่าหกเดือน หรือ

(5) เป็นผู้สำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 2 ฝ่ายเดินเรือจากศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวีหรือโรงเรียนนายเรือหรือสถาบันอื่นที่ได้รับการรับรอง และผ่านการปฏิบัติงานในฝ่ายเดินเรือในเรือหลวงหรือเรือราชการมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปีสำหรับประกาศนียบัตรที่จำกัดการทำหน้าที่เฉพาะในเรือที่ไม่ได้ทำการค้า และ

(6) ผ่านการประเมินว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานหลักสูตรนายประจำเรือฝ่ายเดินเรือของเรือกลเดินทะเลขนาด 500 ตันกรอสหรือมากกว่า ตามที่กำหนดไว้ในผนวก 1 ตารางที่ 2 ของข้อบังคับนี้”
นี่คือที่กำหนดไว้ในข้อบังคับปี 42 ครับ อ่านแต่เริ่ม หลายท่านคงสงสัยว่า “ข้อ 24” คืออะไร ผมก็เลยยกข้อ 24 มาอีกข้อ ดังนี้

ข้อ 24 ผู้สมัครสอบเพื่อขอรับประกาศนียบัตรต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

(1) มีสัญชาติไทยหรือเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตตามข้อ 25

(2) มีสุขภาพร่างกายที่เหมาะสม ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในระเบียบกรมเจ้าท่าว่าด้วยคนประจำเรือเดินทะเล พ.ศ. 2541”

ส่วนข้อ 25 คงไม่ต้องสนใจเพราะเป็นกล่าวถึงคนที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย มีไหมครับ ท่านที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย

เมื่อได้ลองพินิจพิจารณาแล้วเห็นแววไหมครับ จะไปหากินอย่างไรดี? แต่ถ้าอยากจะดูข้อบังคับข้ออื่นประกอบก็ลองเข้าไปในเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางน้ำฯ www.md.go.th/law/kr41_control01.htm
จากที่ได้นำเอาข้อ 30 ของข้อบังคับปี 42 มาให้ทุกท่านได้อ่านกัน เนื่องจากว่าเป็นประกาศนียบัตรหรือตั๋วชั้นแรกที่ผู้ที่ทำการในเรือค้าระหว่างประเทศต้องมี และผมแนะนำว่าท่านที่จบโรงเรียนนายเรือทำตั๋วชั้นนี้เถอะครับถ้าทำได้ โอกาสในการทำงานมันดีกว่าตั๋วเริ่มต้นชั้นอื่น

จากการวิเคราะห์ดูแล้ว ในข้อ (1), (2) ผ่านทุกท่านแน่นอน ข้อ (3) ท่านต้องมาทำการอบรมที่ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี ซึ่งการที่จะสอบตั๋วได้ท่านต้องมีประกาศนียบัตรของหลักสูตรอื่นอีก ซึ่งจะกล่าวต่อไปว่าต้องมีหลักสูตรอะไรบ้าง แล้วเสียค่าใช้จ่ายในการอบรมเท่าไร ต่อไปคือข้อ (4) ข้อนี้จบโรงเรียนนายเรือหมดสิทธิ์ครับ เราไม่มีคุณสมบัติในข้อนี้เลย แต่อย่าเพิ่งตกใจครับ ในข้อนี้มีคำว่า “หรือ” อยู่ด้วย ดังนั้นทุกท่านดูที่ข้อ (5) เลยครับ จบปี 2 แน่นอนทุกท่านจบเป็นนายทหารได้ต้องจบปี 5 ดังนั้นคุณสมบัตินี้ผ่าน ต่อไปคือระยะเวลาการอยู่เรือ (Sea service) ไม่น้อยกว่า 3 ปี เอ้า! ลองตรวจดูของตัวเองหน่อยครับได้ตามนี้ไหม เมื่อได้ท่านก็สามารถขอสอบตั๋วที่กรมการขนส่งทางน้ำได้ครับ แต่ว่าเอาแบบที่ไม่ได้ทำการในเรือค้าไปนะครับ โอ้โห! เอาไปทำอะไรครับ ทำมาหากินที่ไหนหละครับ? แต่ก็พอได้อยู่นะครับกับบริษัทพี่ๆ ของพวกเราเอง ซึ่งมีอยู่ไม่กี่แห่ง นอกนั้นก็บริษัทเล็กๆ เดินเรือแถวๆ นี้เงินก็น้อยลงไป แต่ก็ยังดีกว่าเงินเดือนทหารนะครับ คิดในแง่ที่ดี! ส่วนข้อ (6) คือการสอบตั๋วที่กรมการขนส่งทางน้ำฯ ซึ่งตั้งอยู่แถวตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ ใกล้ๆ กับหัวลำโพง ครับ

แต่ถ้าบางท่านได้อ่านข้อบังคับฯ ทางเว็บกรมฯ แล้วอาจจะสงสัยว่าจบปี 5 สามารถสอบตั๋วนายเรือหรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “ตั๋ว Master” ได้ไม่ใช่หรือ ก็ให้ท่านลองอ่านดีๆ อีกทีนะครับ ว่าทำไมถึงไม่ได้

หวังว่าคงพอเข้าใจกันบ้างไม่มากก็น้อย หรือเรียกอีกอย่างคือ ไม่น้อยก็มาก มีอยู่แค่นี้แหละครับ หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ การที่จะสอบตั๋วได้ทุกท่านก็ต้องมีประกาศนียบัตรหลักสูตรต่างๆ ตามที่ STCW หรือเรียกเต็มๆ ว่า “International Convention on Standards of Training, Certification and Watchkeeping for Seafarers, 1978” เป็นอนุสัญญาว่าด้วยเรื่องของมาตรฐานคนประจำเรือ ซึ่งคนประจำเรือทุกระดับชั้นต้องมีมาตรฐานตามที่กำหนด ดังนั้นเพื่อให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดนี้ ท่านก็ต้องทำการฝึกอบรมเพื่อขอสอบตั๋วชั้นนี้ทั้งหมด 9 หลักสูตร แต่สำหรับผู้ที่จบจากโรงเรียนนายเรือท่านได้สิทธิพิเศษ สามารถทำการเทียบหลักสูตรเหล่านี้ได้ จำนวน 5 หลักสูตร ได้แก่ 4 หลักสูตรพื้นฐาน (การป้องกันและการดับไฟ, ดำรงชีพในทะเล, ความปลอดภัยและความรับผิดชอบบนเรือ และปฐมพยาบาล 1) ส่วนอีกหนึ่งหลักสูตรคือ เรือช่วยชีวิต โดยการนำเอาสำเนาใบปริญญาบัตร, รูปถ่ายขนาด 1½ นิ้ว หรือ 2 นิ้ว และ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรข้าราชการ มาติดต่อที่ฝ่ายทะเบียนและวัดผล อาคารอำพลฯ ชั้น 2 ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี เมื่อท่านได้ทำการเทียบโอนเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เหลือที่จะต้องทำการอบรมอีก 4 หลักสูตร คือ

1. ปฐมพยาบาล 2 ค่าอบรมหลักสูตรท่านละ 2,300 บาท

2. การดับไฟชั้นสูง ค่าอบรมหลักสูตรท่านละ 4,000 บาท

3. RADAR ARPA ค่าอบรมหลักสูตรท่านละ 5,500 บาท

4. GMDSS GOC ค่าอบรมหลักสูตรท่านละ 6,000 บาท หรือ GMDSS ROC ค่าอบรมหลักสูตรท่านละ 3,000 บาท

ซึ่งลองพิจารณาดูดีๆ แล้วสูตรที่ 1-3 พวกเราได้รับการฝึกและร่ำเรียนมาจากโรงเรียนนายเรือแล้วมาทั้งสิ้น ทำไมถึงต้องมาทำการฝึกอบรมเพิ่มเติมกันอีก ตรงนี้ถ้าให้ผู้เขียนตอบคงต้องบอกว่า “ไม่ทราบ” คงต้องรบกวนผู้ที่อยู่ในกองทัพเรือสอบถามผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องดูว่าจะทำไงกันดี มันน่าจะเป็นประโยชน์ของพวกเรานะครับ ส่วนหลักสูตรที่ 4 นั้นช่วยไม่ได้ครับต้องอบรมเพราะเราไม่ได้เรียนมา เว้นก็แต่พวกที่เรียนหลักสูตรนายทหารสื่อสารของ ทร.มาแล้วเท่านั้นละครับที่ไม่น่าต้องเรียน

เมื่อตรวจสอบคุณสมบัติของตนเองครบแล้ว อบรมหลักสูตรต่างๆ ครบแล้ว ต่อไปท่านก็ต้องไปติดต่อที่กรมฯ เพื่อขอซื้อใบตรวจโรคเพื่อทำประกาศนียบัตรสุขภาพ หรือ คร.5 หลังจากที่ได้ใบประกาศฯสุขภาพแล้วก็ไปติดต่อขอสอบที่แผนกคนประจำเรือ พอทุกท่านถึงขั้นตอนนี้ ก็จะเริ่มคล่องกันแล้วหละครับ นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ของกรมฯ ก็จะดูแลท่านเป็นอย่างดี เกือบลืม ท่านต้องทำ In-service book ด้วยครับไปขอซื้อที่ สำนักความปลอดภัยทางน้ำ ในราคาเล่มละ 500 บาท แล้วทำด้วยนะครับ ทำอย่างไรคงไม่อธิบายในนี้ เมื่อมีครบตามนี้ ที่เหลือก็อยู่ที่ฝีมือของท่านแล้วหละครับว่าเก่งกาจสามารถแค่ไหน แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าผู้ที่จบโรงเรียนนายเรือได้ต้องไม่ธรรมดา

เอาหล่ะครับตามข้อบังคับปี 42 ผ่านไป ต่อไปก็จะมาถึงคนที่สนใจปฏิบัติตามข้อบังคับปี 32 บ้างนะครับ แต่ตั๋วที่ออกตามข้อบังคับปี 32 ตอนนี้ไม่สามารถไปหากินที่ไหนได้แล้วนะครับ เว้นเสียแต่ว่าท่านต้องทำงานในกรมการขนส่งทางน้ำฯ หรือการท่าเรือฯ เท่านั้นที่ทำได้ เพราะตั๋วนี้เดินเรือได้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ส่วนรายละเอียดผมจะยกเฉพาะข้อที่เหมาะกับพวกที่จบโรงเรียนนายเรือและทำงานในพรรคนาวินที่มีเวลาอยู่เรือมาแล้วนะครับ ส่วนพวกที่ไม่เคยทำงานเรือไม่มีระยะเวลาการอยู่เรือ ทั้งพรรคนาวินและพรรคนาวิกโยธิน ก็ได้แค่ประกาศนียบัตรชั้น 3 (ต้นหนที่สอง) เท่านั้นครับ

ต่อไปเป็นข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง

ข้อ 20 ผู้สมัครสอบต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้

(1) เป็นผู้มีสัญชาติไทย

(2) ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสียหายร้ายแรง หรือมีความประพฤติเสียหาย อันอาจนำมาซึ่งความไม่ปลอดภัย

(3) ไม่เป็นผู้วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

(4) ไม่เป็นผู้มีร่างกายพิการหรือมีร่างกายไม่สมประกอบ จนไม่สามารถทำการตามตำแหน่งหน้าที่ได้

(5) ไม่เป็นผู้มีโรคติดต่อซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจ

(6) เป็นผู้มีสายตาดี และหูฟังเสียงได้ดี

(7) คุณสมบัติตาม (3), (4), (5) และ (6) ผู้สมัตรสอบต้องแสดงเอกสารใบรับรองแพทย์ประกอบการพิจารณาด้วย

ข้อ 21 ประกาศนียบัตรชั้น 1 (นายเรือ)

ผู้สมัครสอบเพื่อขอรับประกาศนียบัตรชั้น 1 (นายเรือ) ต้องมีคุณสมบัตินอกเหนือจากที่กำหนด ในข้อ 20 ดังนี้

(1) มีอายุไม่ต่ำกว่า 24 ปีบริบูรณ์

(2) เป็นผู้มีประกาศนียบัตรชั้น 2 (ต้นหนที่หนึ่ง) และเคยทำการในเรือในตำแหน่งซึ่งกำหนดให้ใช้ประกาศนียบัตรนี้มาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือ

(3) เป็นผู้มีประกาศนียบัตรชั้น 2 (ต้นหนที่หนึ่ง) และเคยเป็นนายเรือ หรือผู้บังคับการเรือของเรือราชการ และเคยปฏิบัติหน้าที่ในเรือสินค้าในตำแหน่งซึ่งกำหนดให้ใช้ประกาศนียบัตรชั้น 2 (ต้นหนที่หนึ่ง) มาแล้วรวมกันไม่น้อยกว่า 2 ปี ทั้งนี้ระยะเวลาปฏิบัติหน้าที่ในเรือสินค้าต้องไม่น้อยกว่า 6 เดือน ถ้าหากไม่มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ในเรือสินค้า ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรพิเศษสำหรับนายเรือ ของศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี กรมเจ้าท่า หรือ

(4) เป็นผู้ที่จบการศึกษาชั้นสูงสุดจากโรงเรียนนายเรือ หรือสถาบันอื่นที่เทียบเท่าพรรคนาวิน และเคยเป็นผู้บังคับการเรือมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือสอบความรู้ได้ตามหลักสูตรผู้บังคับการเรือในกองทัพเรือ และเคยปฏิบัติหน้าที่ในเรือหลวงมาแล้วไม่น้อยกว่า 4 ปี

ข้อ 22 ประกาศนียบัตรชั้น 2 (ต้นหนที่หนึ่ง)

ผู้สมัครสอบเพื่อขอรับประกาศนียบัตรชั้น 2 (ต้นหนที่หนึ่ง) ต้องมีคุณสมบัตินอกเหนือจากที่กำหนดใน ข้อ 20 ดังนี้

(1) มีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปีบริบูรณ์

(2) เป็นผู้มีประกาศนียบัตรชั้น 3 (ต้นหนที่สอง) และเคยทำการในเรือในตำแหน่งซึ่งกำหนดให้ใช้ประกาศนียบัตรนี้ หรือเคยปฏิบัติหน้าที่นายยามเรือเดินในทะเลของเรือราชการซึ่งมีขนาดไม่ต่ำกว่า 200 ตันกรอส หรือความยาวฉากไม่ต่ำกว่า 25 เมตร อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือ

(3) เป็นผู้ที่จบการศึกษาชั้นสูงสุดจากโรงเรียนนายเรือ หรือสถาบันอื่นที่เทียบเท่าพรรคนาวิน และเคยปฏิบัติหน้าที่ในเรือหลวงมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือสอบความรู้ได้ตามหลักสูตรบังคับการเรือ หรือหลักสูตรต้นหนในกองทัพเรือ

ข้อ 23 ประกาศนียบัตรชั้น 3 (ต้นหนที่สอง)

ผู้สมัครสอบเพื่อขอรับประกาศนียบัตรชั้น 3 (ต้นหนที่สอง) ต้องมีคุณสมบัตินอกเหนือจากที่กำหนดไว้ใน ข้อ 20 ดังนี้

(1) มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์

(2) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือหลักสูตรอื่นใดที่เทียบเท่า

(3) เป็นผู้มีประกาศนียบัตรชั้น 4 (ต้นหนที่สาม) และเคยทำการในเรือในตำแหน่งซึ่งกำหนดให้ใช้ประกาศนียบัตรชั้นนี้มาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือ

(4) เป็นผู้สำเร็จการศึกษา หลักสูตรเดินเรือจากสถาบันการศึกษาซึ่งอธิบดีรับรองให้มีสิทธิสมัครสอบ”

นี่คือส่วนที่เกี่ยวข้องเท่านั้นถ้าใครสนใจที่จะอ่านทั้งหมดให้เข้าไปที่เว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางน้ำฯ www.md.go.th/law/kr32_control01.htm สำหรับข้อบังคับนี้คงไม่ต้องมีการอธิบายเนื่องจากว่าอ่านเข้าใจง่ายอยู่แล้ว และไม่ต้องมีการฝึกอบรมหลักสูตรเพิ่มเติม นอกเหนือจากที่มีในบทความแล้วถ้ามีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ท่านใดสงสัยสามารถติดต่อกับผู้เขียนได้โดยตรงที่ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี นอกจากนี้ก็ยังมีพี่ๆ ของผมอีกหลายท่านที่สามารถตอบคำถามของท่านได้

ผมขอจบบทความในครั้งนี้เพียงแค่นี้ก่อนนะครับ แล้วจะมาเขียนบทความใหม่ๆ ให้พวกเราได้อ่านกันนะครับ กระผมหวังว่าบทความชิ้นนี้น่าจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ไม่น้อยก็มาก สำหรับบางท่านหรือหลายท่าน อย่างไรก็ดี “คิดให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจ แต่อย่าคิดนาน” หวังว่าคงได้เจอกันครับ สวัสดี โชคดีทุกท่าน

ร.อ.ธีรพงษ์ โพธิรังษี

วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2551

ใจร้อน และร้อนใจ ดับได้ด้วย ชินบัญชร...

Narch's Zone

มาเม้นท์ให้นะกั๊บ^^~
........*.........*
.....*...............*
...*....................*
..*......................*
.*........................*.........*....*
*.........................*...*..............*
.*.........................*...................*
..*.........................*................*
...*.......................................*
.....*..................................*
........*...........................*
...........*......................*
...............*...............*
..................*..........*
.....................*.....*
......................*..♥

ใจร้อน และร้อนใจ ดับได้ด้วย ชินบัญชร...

ตั้งนะโม 3 จบ แล้วระลึกถึงและบูชาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆษิตาราม

ปุตตะกาโม ละเภ ปุตตัง ธะนะกาโม ละเภ ธะนัง
อัตถิกาเย กายะญายะ เทวานัง ปิยะตัง สุตตะวา
อิติปิโส ภะคะวา ยะมะราชาโนท้าวเวสุวัณโน
มรณัง สุขัง อะระหัง สุคะโต นะโมพุทธายะ

ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวาหะนัง
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา

ตัณหังกะรา ทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิสสะรา

สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร

หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ
โกณฑัณโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก

ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะราหุลา
กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วา มะโสตะเก

เกสะโต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร
นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว

กุมาระ กัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะ วาทะโก
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร

ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ อุปาลี นันทะ สีวะลี
เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเฏ ติละกะ มะมะ

เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา เอตาสีติ มะหาเถรา
ชิตะวันโต ชิโนระสา ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา

ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง
ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง

ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะสุตตะกัง
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสลา ปาการะสัณฐิตา

ชินาณา วะระสังยุตตา สัตตัปปาการะลังกะตา
วาตะปิตตา ทิสัญชาตา พาหิรัชฌัชตุ ปัททะวา

อะเสลา วินะยัง ยันตุ อะนันตะ ชินะเต ชะสา
วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร

ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะหีตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา

อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะปัญชะระติ

ตอนนี้ทางสถานีพระพุทธศาสนา 106.50 MHz. ก้ได้นำมาเปิดให้ผู้ฟังทุกคนนะครับ ท่านมีธรรมะอะไรดีๆ ก็บอกกันได้นะครับ ลองฟังดูนะครับ วิทยุพระพุทธศาสนา วัดเขาปรีดี
เป็นเรื่องที่เราทุกคน

ควรจะรู้เอาไว้นะครับ


ประสูติ
พระพุทธเจ้า พระนามเดิมว่า “ สิทธัตถะ “ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ พระองค์ทรงถือกำเนิดในศากยวงค์ สกุลโคตมะ พระองค์ประสูติ ในวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ( เดือนวิสาขะ ) ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ กับกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ ( ปัจจุบันคือตำบลรุมมินเด ประเทศเนปาล )

การขนานพระนาม และทรงเจริญพระชนม์
พระราชกุมารได้รับการทำนายจากอสิตฤาษีหรือกาฬเทวิลดาบส มหาฤาษีผู้บำเพ็ญฌานอยู่ในป่าหิมพานต์ซึ่งเป็นที่ทรงเคารพนับถือของพระเจ้าสุทโธทนะว่า “ พระราชกุมารนี้เป็นอัจฉริยมนุษย์ มีลักษณะมหาบุรุษครบถ้วน บุคคลที่มีลักษณะดังนี้ จักต้องเสด็จออกจากพระราชวังผนวชเป็นบรรพชิตแล้วตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลกเป็นแน่ “
หลังจากประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้ประชุมพระประยูรญาติ และเชิญพราหมณ์ ผู้เรียนจบไตรเพท จำนวน ๑๐๘ คน เพื่อมาทำนายพระลักษณะของพระราชกุมาร


พระประยูรญาติได้พร้อมใจกันถวายพระนามว่า “สิทธัตถะ” มีความหมายว่า “ ผู้มีความสำเร็จสมประสงค์ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนตั้งใจจะทำ” ส่วนพราหมณ์เหล่านั้นคัดเลือกกันเองเฉพาะผู้ที่ทรงวิทยาคุณประเสริฐกว่าพราหมณ์ทั้งหมดได้ ๘ คน เพื่อทำนายพระราชกุมาร พราหมณ์ ๗ คนแรก ต่างก็ทำนายไว้ ๒ ประการ คือ “ ถ้าพระราชกุมารเสด็จอยู่ครองเรือนก็จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม หรือถ้าเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิตจักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลก” ส่วนโกณฑัญญะพราหมณ์ ผู้มีอายุน้อยกว่าทุกคน ได้ทำนายเพียงอย่างเดียวว่า พระราชกุมารจักเสด็จออกจากพระราชวังผนวชเป็นบรรพชิต แล้วตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลก “
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๗ วัน พระราชมารดาก็เสด็จสวรรคต ( การเสด็จสวรรคตดังกล่าวเป็นประเพณีของผู้ที่เป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้า ) พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบหมายให้พระนางมหาปชาบดีโคตมีซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา เป็นผู้ถวายอภิบาลเลี้ยงดู เมื่อพระสิทธัตถะทรงพระเจริญมีพระชนมายุได้ ๘ พรรษา ได้ทรงศึกษาในสำนักอาจารย์วิศวามิตร ซึ่งมีเกียรติคุณแพร่ขจรไปไกลไปยังแคว้นต่างๆ เพราะเปิดสอนศิลปวิทยาถึง ๑๘ สาขา เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาศิลปวิทยาเหล่านี้ได้อย่างว่องไว และเชี่ยวชาญจนหมดความสามารถของพระอาจารย์



อภิเษกสมรส
ด้วยพระราชบิดามีพระราชประสงค์มั่นคงที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงครองเพศฆราวาสเป็นพระจักพรรดิผู้ทรงธรรม จึงพระราชทานความสุขเกษมสำราญ แวดล้อมด้วยความบันเทิงนานาประการแก่พระราชโอรสเพื่อผูกพระทัยให้มั่นคงในทางโลก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะมีพระราชดำริว่าพระราชโอรสสมควรจะได้อภิเษกสมรส จึงโปรดให้สร้างปราสาทอันวิจิตรงดงามขึ้น ๓ หลัง สำหรับให้พระราชโอรสได้ประทับอย่างเกษมสำราญตามฤดูกาลทั้ง ๓ คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว แล้วตั้งชื่อปราสาทนั้นว่า รมยปราสาท สุรมยปราสาท และสุภปราสาทตามลำดับ และทรงสู่ขอพระนางพิมพาหรือยโสธรา พระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะและพระนางอมิตา แห่งเทวทหะนคร ในตระกูลโกลิยวงค์ ให้อภิเษกด้วย เจ้าชายสิทธัตถะได้เสวยสุขสมบัติ จนพระชนมายุมายุได้ ๒๙ พรรษา พระนางพิมพายโสรธาจึงประสูติพระโอรส พระองค์มีพระราชหฤทัยสิเนหาในพระโอรสเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ทรงทราบถึงการประสูติของพระโอรสพระองค์ตรัสว่า “ ราหุล ชาโต, พันธน ชาต , บ่วงเกิดแล้ว , เครื่องจองจำเกิดแล้ว “



ออกบรรพชา
เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นผู้มีพระบารมีอันบริบูรณ์ ถึงแม้พระองค์จะทรงพรั่งพร้อมด้วยสุขสมบัติมหาศาลก็มิได้พอพระทัยในชีวิตคฤหัสถ์ พระองค์ยังทรงมีพระทัยฝักใฝ่ใคร่ครวญถึงสัจธรรมที่จะเป็นเครื่องนำทางซึ่งความพ้นทุกข์อยู่เสมอ พระองค์ได้เคยสด็จประพาสอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเทวทูตทั้ง ๔ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต พระองค์จึงสังเวชพระทัยในชีวิต และพอพระทัยในเพศบรรพิต มีพระทัยแน่วแน่ที่จทรงออกผนวช เพื่อแสวงหาโมกขธรรมอันเป็นทางดับทุกข์ถาวรพ้นจากวัฏสงสารไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จออกทรงผนวช โดยพระองค์ทรงม้ากัณฐกะ พร้อมด้วยนายฉันนะ มุ่งสู่แม่น้ำอโนมานที แคว้นมัลละ รวมระยะทาง ๓๐ โยชน์ (ประมาณ ๔๘๐ กิโลเมตร ) เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำอโนมานทีแล้วทรงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต และทรงมอบหมายให้นายฉันนะนำเครื่องอาภรณ์และม้ากัณฐกะกลับนครกบิลพัสดุ์



เข้าศึกษาในสำนักดาบส
ภายหลังที่ทรงผนวชแล้ว พระองค์ได้ประทับอยู่ ณ อนุปิยอัมพวัน แคว้นมัลละเป็นเวลา ๗ วัน จากนั้นจึงเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระเจ้าพิมพิสารได้เสด็จมาเฝ้าพระองค์ ณ เงื้อมเขาปัณฑวะ ได้ทรงเห็นพระจริยาวัตรอันงดงามของพระองค์ก็ทรงเลื่อมใส และทรงทราบว่าพระสมณสิทธัตถะทรงเห็นโทษในกาม เห็นทางออกบวชว่าเป็นทางอันเกษม จะจาริกไปเพื่อบำเพ็ญเพียร และทรงยินดีในการบำเพ็ญเพียรนั้น พระเจ้าพิมพิสารได้ตรัสว่า “ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน และเมื่อได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขอได้โปรดเสด็จมายังแคว้นของกระหม่อมฉันเป็นแห่งแรก “ซึ่งพระองค์ก็ทรงถวายปฏิญญาแด่พระเจ้าพิมพิสาร

การแสวงหาธรรมระยะแรกหลังจากทรงผนวชแล้ว สมณสิทธัตถะได้ทรงศึกษาในสำนักอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร ณ กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระองค์ได้ทรงประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของอาฬารดาบส กาลามโคตร ทรงได้สมาบัติคือ ทุติยฌาน ตติยฌาน อากาสานัญจายตนฌาน วิญญานัญจายตนฌาน และอากิญจัญญายตนฌาน ส่วนการประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักอุทกดาบส รามบุตร นั้นทรงได้สมาบัติ ๘ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน สำหรับฌานที่ ๑ คือปฐมฌานนั้น พระองค์ทรงได้ขณะกำลังประทับขัดสมาธิเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐานอยู่ใต้ต้นหว้า เนื่องในพระราชพิธีวัปปมงคล ( แรกนาขวัญ ) เมื่อครั้งทรงพระเยาว์
เมื่อสำเร็จการศึกษาจากทั้งสองสำนักนี้แล้วพระองค์ทรงทราบว่ามิใช่หนทางพ้นจากทุกข์ บรรลุพระโพธิญาณ ตามที่ทรงมุ่งหวัง พระองค์จึงทรงลาอาจารย์ทั้งสอง เสด็จไปใกล้บริเวณแม่น้ำเนรัญชรา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ


บำเพ็ญทุกรกิริยา
“ ทุกร “ หมายถึง สิ่งที่ทำได้ยาก “ ทุกรกิริยา” หมายถึงการกระทำกิจที่ทำได้ยาก ได้แก่การบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรมวิเศษ”
เมื่อพระองค์ทรงหันมาศึกษาค้นคว้าด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแทนการศึกษาเล่าเรียนในสำนักอาจารย์ ณ ทิวเขาดงคสิริ ใกล้ลุ่มแม่น้ำเนรัญชรานั้น พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา คือการบำเพ็ญอย่างยิ่งยวดในลักษณะต่างๆเช่น การอดพระกระยาหาร การทรมานพระวรกายโดยการกลั้นพระอัสสาสะ พระปัสสาสะ ( ลมหายใจ ) การกดพระทนต์ การกดพระตาลุ ( เพดาน) ด้วยพระชิวหา (ลิ้น) เป็นต้น พระมหาบุรุษได้ทรงทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาเป็นเวลาถึง ๖ ปี ก็ยังมิได้ค้นพบสัจธรรมอันเป็นทางหลุดพ้นจากทุกข์ พระองค์จึงทรงเลิกการบำเพ็ญทุกรกิริยา แล้วกลับมาเสวยพระกระยาหารเพื่อบำรุงพระวรกายให้แข็งแรง ในการคิดค้นวิธีใหม่ ในขณะที่พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญทุกรกิริยานั้น ได้มีปัญจวัคคีย์ คือ พราหมณ์ทั้ง ๕ คน ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ เป็นผู้คอยปฏิบัติรับใช้ ด้วยหวังว่าพระมหาบุรุษตรัสรู้แล้วพวกตนจะได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดความรู้บ้าง และเมื่อพระมหาบุรุษเลิกล้มการบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจัคคีย์ก็ได้ชวนกันละทิ้งพระองค์ไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน นครพาราณสี เป็นผลให้พระองค์ได้ประทับอยู่ตามลำพังในที่อันสงบเงียบ ปราศจากสิ่งรบกวนทั้งปวง พระองค์ได้ทรงตั้งพระสติดำเนินทางสายกลาง คือการปฏิบัติในความพอเหมาะพอควร นั่นเอง



ตรัสรู้
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เวลารุ่งอรุณ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ( เดือนวิสาขะ) ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี
นางสุชาดาได้นำข้าวมธุปายาสเพื่อไปบวงสรวงเทวดา ครั้นเห็นพระมหาบุรุษประทับที่โคนต้นอชปาลนิโครธ (ต้นไทร)ด้วยอาการอันสงบ นางคิดว่าเป็นเทวดา จึงถวายข้าวมธุปายาส แล้วพระองค์เสด็จไปสู่ท่าสุปดิษฐ์ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงวางถาดทองคำบรรจุข้าวมธุปายาสแล้วลงสรงสนานชำระล้างพระวรกาย แล้วทรงผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นธงชัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ หลังจากเสวยแล้วพระองค์ทรงจับถาดทองคำขึ้นมาอธิษฐานว่า “ ถ้าเราจักสามารถตรัสรู้ได้ในวันนี้ ก็ขอให้ถาดทองคำใบนี้จงลอยทวนกระแสน้ำไป แต่ถ้ามิได้เป็นดังนั้นก็ขอให้ถาดทองคำใบนี้จงลอยไปตามกระแสน้ำเถิด “ แล้วทรงปล่อยถาดทองคำลงไปในแม่น้ำ ถาดทองคำลอยตัดกระแสน้ำไปจนถึงกลางแม่น้ำเนรัญชราแล้วลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปไกลถึง ๘๐ ศอก จึงจมลงตรงที่กระแสน้ำวน ในเวลาเย็นพระองค์เสด็จกลับมายังต้นโพธิ์ที่

ประทับ คนหาบหญ้าชื่อโสตถิยะได้ถวายหญ้าปูลาดที่ประทับ ณ ใต้ต้นโพธิ์ พระองค์ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า “ แม้เลือดในกายของเราจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตาม ถ้ายังไม่บรรลุธรรมวิเศษแล้ว จะไม่ยอมหยุดความเพียรเป็นอันขาด “ เมื่อทรงตั้งจิตอธิษฐานเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงสำรวมจิตให้สงบแน่วแน่ มีพระสติตั้งมั่น มีพระวรกายอันสงบ มีพระหทัยแน่วแน่เป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากกิเลส ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อนโยน เหมาะแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ( ญาณเป็นเหตุระลึกถึงขันธ์ที่อาศัยในชาติปางก่อนได้ )ในปฐมยามแห่งราตรี ต่อจากนั้นทรงน้อมพระทัยไปเพื่อจูตุปาตญาณ ( ญาณกำหนดรู้การตาย การเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ) ในมัชฌิมยามแห่งราตรี ต่อจากนั้นทรงน้อมพระทัยไปเพื่ออาสวักขยญาณ ( ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวกิเลสทั้งหลาย) คือทรงรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อทรงรู้เห็นอย่างนี้ จิตของพระองค์ก็ทรงหลุดพ้นจากกามสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วพระองค์ก็ทรงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ทรงรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป นั่นคือพระองค์ทรงบรรลุวิชชาที่ ๓ คือ อาสวักขยญาณ ในปัจฉิมยาม แห่งราตรีนั้นเอง ซึ่งก็คือการตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาอย่างยิ่งยวด พระองค์ทรงตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือน ๖ ปีระกา ขณะพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา นับแต่วันที่สด็จออกผนวชจนถึงวันตรัสรู้ธรรม รวมเป็นเวลา ๖ ปี
พระธรรมอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น คือ อริยสัจ ๔ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค )



ประกาศพระศาสนาครั้งแรก

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทรงเสวยวิมุติสุข ณ บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา ๗ สัปดาห์ ทรงรำพึงว่า ธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้เป็นการยากสำหรับคนทั่วไป จึงทรงน้อมพระทัยไปในทางที่จะไม่ประกาศธรรม พระสหัมบดีพรหมทราบวาระจิตของพระองค์จึงอาราธนาให้โปรดมนุษย์ โดยเปรียบเทียบมนุษย์เหมือนดอกบัว ๔ เหล่า และในโลกนี้ยังมีเหล่าสัตว์ผู้มีธุลีในดวงตาเบาบาง สัตว์เหล่านั้นจะเสื่อมเพราะไม่ได้ฟังธรรม เหล่าสัตว์ผู้ที่สามารถรู้ทั่วถึงธรรมได้ ยังมีอยู่ “ พระพุทธเจ้าจึงทรงน้อมพระทัยไปในการแสดงธรรม แล้วเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงแสดงปฐมเทศนา ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ( เดือนอาสาฬหะ) เรียกว่า ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ในขณะที่ทรงแสดงธรรม ท่านปัญญาโกณฑัณญะได้ธรรมจักษุ คือบรรลุพระโสดาบัน ได้ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกการบวชครั้งนี้ว่า “ เอหิภิกขุอุปสัมปทา ” พระอัญญาโกณฑัญญะจึงเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา




การประกาศพระพุทธศาสนา

เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดปัญจวัคคีย์ และสาวกอื่นๆซึ่งต่อมาได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จำนวน ๖๐ องค์แล้ว และเป็นช่วงที่ออกพรรษาแล้ว พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นสมควรว่าจะออกไปประกาศพระศาสนาให้เป็นที่แพร่หลาย จึงมีพุทธบัญชาให้สาวกทั้ง ๖๐ องค์ จาริกออกไปประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยให้ไปแต่เพียงลำพัง แม้พระองค์ก็จะเสด็จไปยังอุรุเวลาเสนานิคม ในการออกจาริกประกาศ พระศาสนาครั้งนั้นทำให้กุลบุตรในดินแดนต่างๆหันมาเลื่อมใสพระพุทธศาสนาและขอบรรพชา อุปสมบทเป็นอันมาก ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สาวกเหล่านั้นสามารถอุปสมบทให้แก่กุลบุตรได้ เรียกว่า “ ติสรณคมนูปสัมปทา คืออุปสมบทโดยวิธีให้ปฏิญญาตนเป็นผู้ถึงไตรสรณคมน์” พระพุทธศาสนาจึงหยั่งรากฝังลึกและแพร่หลายในดินแดนแห่งนั้นเป็นต้นมา



พรรษาที่ ๑ ที่พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสาวกและได้อรหันตสาวกจำนวน ๖๐ องค์แล้ว พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาคุณทำการประกาศเผยแผ่คำสอน จนเกิดพุทธบริษัท ๔ อันมี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อย่างแพร่หลายและมั่นคง การประกาศพระพุทธศาสนาของพระองค์ได้ดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง โดยการจาริกไปยังหมู่บ้านชนบทน้อยใหญ่ในแคว้นต่างๆทั่วชมพูทวีป
พรรษาที่ ๒ พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดประชาชน ได้พุทธสาวกดังนี้ เสด็จไปยังอุรุเวลาเสนานิคม ในระหว่างทางได้โปรดกลุ่มภัททวัคคีย์ ๓๐ คน ที่ตำบลอุรุเวลาได้โปรดชฎิล ๓ พี่น้องคือ อุรุเวกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ กับศิษย์ อีก ๑๐๐๐ คน ทรงเทศนาอาทิตตปริยายสูตร ที่คยาสีสะ แล้วเสด็จไปยังนครราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ เพื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารถวายสวนเวฬุวันเป็นที่อาศัยแด่คณะสงฆ์ และได้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นสาวก อีก ๒ เดือนต่อมาเสด็จไปยังนครกบิฬพัสดุ์ ทรงพำนักที่นิโครธาราม ทรงได้สาวกอีกมากมาย เช่น พระนันทะ พระราหุล พระอานนท์ พระเทวทัต และพระญาติอื่นๆ ต่อมาอนาถปิณฑิกะเศรษฐีอาราธนาไปยังกรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ได้ถวายสวนเชตวันแด่คณะสงฆ์ พระพุทธองค์ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ ๓ นางวิสาขาถวายบุพพาราม ณ กรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ ๔ ทรงจำพรรษาที่เวฬุวัน ณ กรุงราชคฤห์ แห่งแคว้นมคธ
พรรษาที่ ๕ เสด็จโปรดพระราชบิดาจนได้บรรลุอรหัตตผล และทรงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างพระญาติฝ่ายสักกะกับพระญาติฝ่ายโกลิยะเกี่ยวกับการใช้น้ำในแม่น้ำโหริณี ต่อมาทรงอุปสมบทพระนางประชาบดีโคตมี และคณะเป็นภิกษุณี
พรรษาที่ ๖ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ในกรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษา ณ ภูเขามังกลุบรรพต
พรรษาที่ ๗ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ระหว่างจำพรรษาได้เสด็จไปทรงเทศนาพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดายังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พรรษาที่ ๘ ทรงเทศนาในแคว้นมัคคะ ทรงจำพรรษาในเภสกลาวัน
พรรษาที่ ๙ ทรงเทศนาในแคว้นโกสัมพี
พรรษาที่ ๑๐ คณะสงฆ์ในแคว้นโกสัมพีแตกแยกกันอย่างรุนแรง พระพุทธองค์ทรงตักเตือนแต่คณะสงฆ์ไม่เชื่อฟัง พระองค์จึงเสด็จไปประทับและจำพรรษาในป่าปาลิไลยยกะ มีช้างเชือกหนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์และรับใช้ตลอดเวลา
พรรษาที่ ๑๑ เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกันได้ ทรงจำพรรษาอยู่ในหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อเอกนาลา
พรรษาที่ ๑๒ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่เวรัญชา และเกิดความอดอยากรุนแรงขึ้นในเวลานั้น
พรรษาที่ ๑๓ ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ ๑๔ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี พระราหุลขอผนวช
พรรษาที่ ๑๕ เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุปปพุทธะถูกแผ่นดินสูบเพราะขัดขวางทางโคจร


พรรษาที่ ๑๖ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่อาลวี
พรรษาที่ ๑๗ เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี แล้วเสด็จกลับมายังอาลวี และทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์
พรรษาที่ ๑๘ เสด็จไปยังอาลวี ทรงจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ ๑๙ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่บนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ ๒๐ โจรองคุลิมารกลับใจเป็นสาวก และทรงแต่งตั้งให้พระอานนท์รับใช้ใกล้ชิดตลอดกาล ทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์และทรงเริ่มบัญญัติวินัย
พรรษาที่ ๒๑-๔๔ ทรงใช้เชตวันและบุพพารามในกรุงราชคฤห์เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่และเป็นที่ประทับจำพรรษา เสด็จพร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ตามแว่นแคว้นต่างๆ
พรรษาที่ ๔๕ เป็นพรรษาสุดท้าย พระเทวทัตคิดปลงพระชนม์ กลิ้งก้อนหินจนต้องพระองค์เป็นเหตุให้พระบาทห้อพระโลหิต ทรงได้รับการบำบัดจากหมอชีวกโกมารภัต



ทรงปรินิพาน

พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธกิจอยู่จนพระชนมายุ ๘๐ พรรษา พระองค์เสด็จจำพรรษาสุดท้ายณ เมืองเวสาลี ในวาระนั้นพระพุทธองค์ทรงพระชราภาพมากแล้วทั้งยังประชวรหนักด้วย พระองค์ได้ทรงพระดำเนินจากเวสาลีสู่เมืองกุสินาราเพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองนั้น พระพุทธองค์ได้หันกลับไปทอดพระเนตรเมืองเวสาลีซึ่งเคยเป็นที่ประทับ นับเป็นการทอดทัศนาเมืองเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเสด็จต่อไปยังเมืองปาวา เสวยพระกระยาหารเป็นครั้งสุดท้ายที่บ้านนายจุนทะ บุตรนายช่างทอง พระพุทธองค์ทรงพระประชวรหนักอย่างยิ่ง ทรงข่มอาพาธประคองพระองค์เสด็จถึงสาลวโนทยาน (ป่าสาละ)ของเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานพระองค์ได้อุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพาชก นับเป็นสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์และปุถุชน

พระราชา ชาวเมืองกุสินารา และจากแคว้นต่างๆรวมทั้งเทวดาทั่วหมื่นโลกธาตุ พระพุทธองค์ได้มีพระดำรัสครั้งสำคัญว่า “ โย โว อานนท ธมม จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต โส โว มมจจเยน สตถา ” อันแปลว่า “ ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยอันที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว “
และพระพุทธองค์ได้แสดงปัจฉิมโอวาทแก่พระภิกษุสงฆ์ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นวาจาครั้งสุดท้าย ที่เราจะกล่าวแก่ท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความสิ้นไปและเสื่อมไปเป็นธรรมดา . ท่านทั้งหลายจงทำความรอดพ้นให้บริบูรณ์ถึงที่สุด ด้วยความไม่ประมาทเถิด “
แม้เวลาล่วงมาถึงศตวรรษที่ ๒๕ แล้ว นับตั้งแต่พระองค์ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และเสด็จดับขันธปรินิพพานที่นอกเมืองกุสินาราในประเทสอินเดีย แต่คำสั่งสอนอันประเสริฐของพระองค์หาได้ล่วงลับไปด้วยไม่ คำสั่งสอนเหล่านั้นยังคงอยู่ เป็นเครื่องนำบุคคลให้ข้ามพ้นจากความมีชีวิต ขึ้นไปสู่ซึ่งคุณค่ายิ่งกว่าชีวิต คือการพ้นจากวัฏสงสารนั่นเอง
หลังจากพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว สาวกของพระองค์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์และมิใช่พระอรหันต์ได้ช่วยบำเพ็ญกรณียกิจเผยแผ่พระพุทธวัจนะอันประเสริฐไปทั่วประเทศอินเดีย และขยายออกไปทั่วโลก เป็นที่ยอมรับว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเป็นจริง มีเหตุผลเชื่อถือได้และ เป็นศาสนาแห่งสันติภาพและเสรีภาพอย่างแท้จริง
สรุปพุทธกิจในรอบวันของพระพุทธองค์
๑. ปุพพณเห ปิณฑปาตญจ ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาตเพื่อโปรดเวไนยสัตว์
๒.สายณเห ธมมเทสน ตอนเย็นทรงแสดงธรรมโปรดมหาชนที่มาเข้าเฝ้า
๓.ปโทเส ภิกขุโอวาท ตอนหัวค่ำประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งเก่าและใหม่
๔.อฑฒรตเต เทวปญหาน ตอนเที่ยงคืนทรงวิสัชชนาปัญหาให้แก่เทวดาชั้นต่างๆ
๕.ปจจสเสว คเต กาเล ภพพาภพเพ วิโลกน ตอนใกล้รุ่งตรวจดูสัตว์โลกที่สามารถและไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แล้วเสด็จไปโปรดถึงที่ แม้ว่าหนทางจะลำบากเพียงใดก็ตาม

**********************************

ลองฟังวิทยุชุมชนเพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนา FM 106.50 MHz. ดูนะครับ

ออนไลน์แล้วครับ เข้าฟังได้ที่นี่---> นครทูเดย์

http://www.nakhontoday.com/radio_online.php?radio=preedee106&PHPSESSID=375359b9c92f84a84037a7bc900e1405

โทร 075-329-610 /083 9845635

////เปิดสถานี 05.00 - 22.00 น.


พบกับดีเจเสียงหล่อที่สุดครับในเวลา

------08.00-09.00 น.
-----16.00 - 17.00 น.
-----20.30 - 22.00 น.

ทุกวัน

เป็นรายการธรรมะ และ ยังมีอีกหลายรายการนะครับ

วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2551

:::::: รวมหมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ

:::::: รวมหมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
Yahoo! เมล
ยินดีต้อนรับสู่อัลบั้ม * ยัย ลิ�

วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2551

Custom Rich-Text Page

Custom Rich-Text Page
Glitter Photos
[Glitterfy.com - *Glitter Photos*]

[url=http://www.glitterfy.com/][img]http://img18.glitterfy.com/72/glitterfy004012650D32.gif[/img][/url]

Glitter Photos
[Glitterfy.com - *Glitter Photos*]

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2551

hi5 - Thanagorn

hi5 - Thanagorn
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
commentbaby.com
SEXY & HOT COMMENTS


CLICK HERE

Glitter หวัดดียามเย็น ทักทายตอนสายๆ+�

Glitter หวัดดียามเย็น ทักทายตอนสายๆ+�
Glitter Graphics

Fairy Glitter Pictures



Nature-Max



Online Users






commentbaby.com
SEXY & HOT COMMENTS


CLICK HERE



commentbaby.com
SEXY & HOT COMMENTS


CLICK HERE



commentbaby.com
SEXY & HOT COMMENTS


CLICK HERE


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


http://www.crazyprofile.com/calendar/myspace_calendar.asp
http://d081adisak.spaces.live.com/

commentbaby.com - Saint Patrick's Day Comments

commentbaby.com - Saint Patrick's Day Comments


Glitter Graphics

Fairy Glitter Pictures



Nature-Max



Online Users






commentbaby.com
SEXY & HOT COMMENTS


CLICK HERE



commentbaby.com
SEXY & HOT COMMENTS


CLICK HERE



commentbaby.com
SEXY & HOT COMMENTS


CLICK HERE

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2551

freewebspace

http://www.jobyoucan.ws


http://adisakk081.freewebspace.com
http://www.adisakk081.blogblog.com
http://www.nature-maxsys.com/biz/?id=535





คิดถึง,miss, ตุ๊กตาหมี, miss u, คอมเม้นต์ hi5
[widget.sanook.com - *More Feel*]


วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551

不定期便

不定期便

# Pantip Chiangmai # The center of computer of Northern Thailand !!! Welcome to Pantipchiangmai.com !!! ชั้น 3 ห้อง 3111 โทร

# Pantip Chiangmai # The center of computer of Northern Thailand !!! Welcome to Pantipchiangmai.com !!! ชั้น 3 ห้อง 3111 โทร



sierra wireless mobile smartphone ใช้ Microsoft Mobile for Smartphone เห็นแล้วใช้แล้ว คุณต้องลองแล้วล่ะ msn 24 ชั่วโมงsierra wireless mobile smartphone ใช้ Microsoft Mobile for Smartphone เห็นแล้วใช้แล้ว คุณต้องลองแล้วล่ะ msn 24 ชั่วโมง
มือถือระบบใหม่ ใช้ window for smartphone ของ Microsoft คุณจึงเล่น Msn , ดูหนัง ฟัง Mp3 แถมเช็ค mail ผ่าน มือถือ ดูรูปที่แนบ word , excel ที่แนบมาได้ด้วยทันที ราคาเบาใจได้เลย ไม่น่าเชื่อ 13900 บาท... ... อ่านต่อทั้งหมด

อ่าน(3715) แสดงความคิดเห็น(6)
เปลี่ยน CD Key ของ Office XP เปลี่ยน CD Key ของ Office XP
ก่อนหน้านี้ เราได้เคยแนะนำวิธีเปลี่ยน CD Key ของ Windows XP ไปแล้ว สำหรับ WinTip ในครั้งนี้ เราจะมาเปลี่ยน CD Key ที่ถูกต้องตามกฏหมายให้กับผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ Microsoft Office XP กันครับ ... อ่านต่อทั้งหมด

อ่าน(5378)
ใครแอบดูข้อมูลเราตอนที่เล่นเน็ต ?? XP ใครแอบดูข้อมูลเราตอนที่เล่นเน็ต ?? XP
ความอยากเห็นของมนุษย์เราไม่มีวันสิ้นสุด เป็นที่รู้จักกัน ขณะที่เรากำลังต่อเครื่องคอมเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ตอาจมีมือเซียนเข้ามาขโมยข้อมูลในเครื่องเราก็เป็นไปได้ เราสามารถใช้ Windows XP ตรวจดูโดยวิธีต่อไปนี้ ... อ่านต่อทั้งหมด

อ่าน(8758)
Router คืออะไร Router คืออะไร
Router เป็นอุปกรณ์ที่ซับซ้อนกว่า Bridge โดยทำงานเสมือนเป็นเครื่องหรือ node หนึ่งใน LAN ซึ่งจะทำหน้าที่รับข้อมูลเข้ามาแล้วส่งต่อไปยังปลายทาง โดยอาจส่งในรูปแบบของ packet ที่ต่างออกไป เพื่อไปผ่านสายสัญญาณแบบอื่นๆ ... อ่านต่อทั้งหมด

อ่าน(5322)
ติดตั้ง Firewall ใน Windows XPติดตั้ง Firewall ใน Windows XP
วิธีทำก็ไม่ยากเลยครัยลองทำกันดูน่ะคร๊าบ :D... อ่านต่อทั้งหมด

อ่าน(4865)
ความลับของ MP3 ความลับของ MP3
ลองดู....... อ่านต่อทั้งหมด

อ่าน(9522) แสดงความคิดเห็น(215)
Wi-Fi หรือ Fi-Wi คืออะไร กัน ?Wi-Fi หรือ Fi-Wi คืออะไร กัน ?
??????............. อ่านต่อทั้งหมด

อ่าน(6054) แสดงความคิดเห็น(3)
การปิดเครื่องโดยไม่ต้อง Shot down การปิดเครื่องโดยไม่ต้อง Shot down
......... อ่านต่อทั้งหมด

อ่าน(8094) แสดงความคิดเห็น(7)
การแปลงระบบ FAT32 ให้เป็น NTFSการแปลงระบบ FAT32 ให้เป็น NTFS
ง่ายๆครับไม่ยากลองดู............ อ่านต่อทั้งหมด

อ่าน(7402) แสดงความคิดเห็น(271)
ข้อแตกต่างระหว่าง Standby กับ Hibernate ของ Windows ข้อแตกต่างระหว่าง Standby กับ Hibernate ของ Windows
แตกต่างยังไง........ อ่านต่อทั้งหมด

อ่าน(5326) แสดงความคิดเห็น(182)
Pages [1 of 9] : 1 2 3 4 5 6 7 8 9 Next>